เส้นใยจากธรรมชาตินั้นมี 4 ประเภทหลักๆได้แก่
-
เส้นใยเซลลูโลสธรรมชาติ (Natural cellulose fibers) เป็นกลุ่มเส้นใยที่ได้จาก พืช เช่น ฝัาย ลินิน ป่าน ปอ โครงสร้างของโมเลกุลประกอบด้วยกลุ่ม แอนไฮโดรกลูโคส เกาะ เกี่ยวกันเป็นสายโซ่ยาว โมเลกุลใหญู่ สายโมเลกุลนี้รวมกันจำนวนมากจะเกิดเป็นเส้นใยและยิ่ง มีความยาวมาก จะมีผลทำให้เซลลูโลสมีความเหนียวมากขึ้น โซ่โมเลกุลจะยาวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ จำนวนโมเลกุลกลูโคส กลูโคสแต่ละหน่วยประกอบด้วยคาร์บอน 44.4% ไฮโดรเจน 1.2% และอ๊อกซิเจน 49.4%
การจัดเรียงตัวของโมเลกุลเซลลุโลสนั้นบางตอนก็ขนานกัน เป็นระเบียบเรียกว่า Crytalline บางตอนเรียงกันไม่เป็นระเบียบ พันกันสะเปะสะปะไปมาเรียกว่า Amophous การเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ ของโมเลกุลเซลลูโลสจะทำให้เกิดช่องว่างแทรกอยู่ระหว่างโมเลกุลกันละกันทำให้การยึตเกาะกันระหว่างโมเลกลุล มีน้อย เส้นใยขาดความแข็งแรง ส่วนโมเลกุลเซลลูโลสที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบ จะทำให้เส้นใย มีความแข็งดี ยืดตัวออกได้น้อย มีแรงยึดเกาะระหว่างโมเลกุลข้างเคียงด้วย Hydrogen bond ความยาวของหน่วยโมเลกลเซลลูโลสที่ต่อกันขื้นอยู่กับชนิดและพื้นฐานดั้งเดิมของเซลลูโลสจากโครงสร้างโมเลกุลกลูโคส ซึ่งยึดเกาะกันเป็นสายโมเลกลเซลลูโลส จะเห็นว่าโมเลกุลกลูโคสจะมีหมู่ - OH อยู่หลายแห่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดปฏิกิริยาเคมีกับเส้นใยได้ เช่น ปฏิกริยากับสีย้อมสารตกแต่ง การดูดความซื้น โดยหมู่ - OH จะยืดจับกับโมเลกุลของน้ำที่ ผ่านเข้ามาในเส้นใยได้ดี -
เส้นใยโปรตีนจากธรรมชาติ (Protein Fibers) เส้นใยโปรตีนธรรมชาติ (Natural protein fibers) เส้นใยโปรตีนธรรมชาติเป็น เส้นใยที่ได้จากสัตว์ ได้แก่ใยขนสัตว์และใยไหม เส้นใยขนสัตว์คือใยที่ได้จากขนสัตว์ ที่ปกคลุมตัวสัตว์ ได้จากพวกขนแกะ แพะ อูฐ ลามา แอลปาคา วิคินา ขนจากสัตว์เหล่านี้เรียกว่า hair fiber และยังมีขนสัตว์อีกประฌทหนึ่งที มีขนาดลำตัวเล็ก เช่น ขนมิงค์ กระต่าย บีเวอร์ จะให้เส้นใยที่อ่อนนุ่มกว่าขนสัตว์ประเภทแรก จะเรียกว่า fur fiber
ส่วนเส้นใยไหม เป็นเส้นใยที่ได้จากตัวไหมซึ่งขับสารชนิดหนื่งออกมาจากต่อมใกล้ปาก เพื่อสร้างรังห่อหุ้มให้กับตัวเอง เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ในช่วงวัฏจักรหนื่งของตัวไหม การนำรังไหมมาใช้นั้นจะต้องนำ มาใช้ก่อนที่ตัวหนอนไหมจะเจาะทะลุรังออกมา เพราะจะทำให้เส้นใยไหมขาดเป็นท่อน ๆ จะได้เส้นใยไหมที่คุณภาพต่ำเส้นใยโปรตีนธรรมชาติ เป็นส้นใยที่ดูดความชื้นได้ดี ให้ความอบอุ่น มากกวาเสันใย เซลลูโลส เป็นตัวนำไฟฟ้าไม่ดี ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นได้ ไม่ทนต่อสารด่างละลายได้ในโซเดียมไฮดรอกไซด์ 5% เมื่อเดือดและไม่ทนต่อการฟอกขาวจากสารประเภทคลอรีน ทนต่อกรตได้ดี แต่เส้นใยไหมไม่ทนต่อการละลาย กรดโลหะเข้มข้นและไม่ทนต่อแสงแดด เมื่อถูกแสงแดดนาน ๆ จะเปลี่ยนจากสีขาวเป็น สีเหลือง ความเหนียวจะลดลงเมื่อเส้นใยเปียกชื้น การติดไฟนั้น จะลุกไหม้ได้ช้าๆ และจะดับไปเองเมื่อเอาออกจากไฟ ขี้เถ้าเป็นเม็ดก้อนกลมๆแข็งเปราะง่าย มีกลิ่นไหม้คล้ายเส้นผม/ขนของคน หรือเนื้อไหม้ไฟเส้นใยโปรตีนธรรมชาติประกอบด้วย กรดอมิโนซื่งจับกันเป็นใซ่ในรูปของโพลิเปปไทค์ (polypeptide chains) มีน้ำหนักโมเลกุลค่อนข้างสูง ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน เส้นใยขนสัตว์จะมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย การเรียงตัวของกรดอัลฟาอมิโน (Alpha Amino Acid) จะเป็นกากตกอยู่ทั่วไปในระหว่างเส้นใยโครงสร้างของเส้นใยขนสัตว์ที่ได้จากขนสัตว์จะแตกต่างจากที่ได้จากเส้นผม ถ้าเป็นเส้นใย ที่ได้จากขนเมื่อดูด้วยกล้องจุลทัศน์ จะมีเซลล์ชั้นนอกห้มซ้อนกันอยู่เหมือนเกล็ดปลา ถ้าเป็นเส้นใย ที่ได้จากผม จะมีลักษณะภายนอกเป็นเส้นตรงเป็นมันลื่น ไมค่อยยืดหยุน ผิวเรียบสม่ำเสมอ สัตว์ที ใช้ขนมาทำเป็นผ้าขนสัตว์ ได้แก่ ขนแกะ นอกจากนั้นได้จากขนหรือผมของอูฐ แพะแองกอร่า แพะแคชฌียร์ ลามา อัลปาก้า และไวคูน่า จัดเป็นขนสัตว์ชนิดพิเศษราคาแพงมากและค่อนข้างหายากเส้นใยโปรตีนธรรมชาตินั้น มีความหนาแน่น้อยกว่าเส้นใยเซลลูโลสธรรมชาติ จึงทำให้ มีน้ำหนักเบากว่า ใยเซลลูโลสในปริมาณที่เท่าๆกัน เส้นใยโปรตีนคืนตัว และยืดหยุ่นใด้ดี ในปัจจุบันเส้นใย โปรตีนธรรมชาติมีปริมาณการใช้ไม่เพิ่มมากนัก เนื่องจากมีการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ เช่น ไนลอน โพลิเอสเตอร์ อะคริลิค เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย และยังสามารถสังเคาระห์ตกแต่งใหม่ ให้คุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับ เส้นใยโปรตีนจากธรรมชาติได้ด้วย อย่างไรก็ตามปริมาณการใช้เส้นใยโปรตีนโดยเฉพาะใยที่ได้จาก ขนและผมของสัตว์ ยังคงเป็นที่ต้องการในประเทศที่มีอากาศหนาว -
เส้นใยธรรมชาติจากแร่ (Mineral Fibers)
เส้นใยหิน (Asbestos)
ใยหินเป็นใยธรรมชาติที่แยกจากหินชนิดหนึ่งที่มีสีเขียวที่เรียกว่า Serpentine หรือ amphibole rock มีลักษณะเป็นชั้นลื่นเหมือนสบู่ หินชนิดนี้รู้จักกันมาตั้งแต่ในสมัยกรีก และโรมันตอนต้น Asbestos เป็นภาษากรีกใยหินที่ได้มานั้นจะถูกนำไปทำความสะอาด แยกประเภทตามความยาวแล้วจึงนำไปส่งต่อไปยังโรงงานสิ่งทอ เส้นใยหินที่จะทำเป็นเส้นใยผ้านั้นจะต้องผสมกับใยผ้าฝ้าย 5-20% หรือไม่ก็เรยอน และขนสัตว์ เพื่อปั่นให้เป็นเส้นด้ายและทอเป็นผ้าต่อไป ผ้าที่ผลิตจากใยหินนั้นมีคุณสมบัติคือทนไฟ สามารถทอเป็นผ้าได้หลากหลายชนิด ใช้ทำผ้าม่ากันไฟ ชุดเสื้อผ้ากันไฟที่ใช้สำหรับพนักงานดับเพลิง ผ้าฉนวนป้องกันไฟฟ้า เป็นต้น
รูปใยหินจากก้อนหิน ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Asbestosคุณสมบัติของใยหิน
ใยหินมีความเหนียว แข็งแรง ทนความร้อนได้สูงในช่วงระละเวลาสั้นๆได้ถึง 6,000F ใยหินทนต่อสารเคมีได้ดีการทำความสะอาดผ้าใยหิน
เวลาซักต้องระมัดระวัง ถ้าไม่สกปรกมากไม่ควรซักทั้งชิ้น ควรทำความสะอาดโดยการใช้ฟองน้ำชุบน้ำเช็ดบริเวณที่เปรอะเปื้อน ก็จะสามารถเช็ดออกไปได้อย่างง่ายดายเส้นใยโลหะ (Metallic Fibers)
เป็นเส้นใยที่รู้จักกันมานับพันปีก่อนที่จะรู้จักใยเรยอน และไนลอน ใยโลหะเป็นใยเดี่ยว อาจเรียกว่าด้ายโลหะ (Metallic Yarns) ก็ได้ เพราะมีลักษณะเป็นใยยาวเดี่ยว แบบคล้ายริบบิ้น สามารถผลิตใหม่ขนาดตามต้องการ อาจใช้พันสลับกับเส้นด้ายจะมีลักษณะกลม นิยมทำด้วยโลหะแท้ เช่น ทองซึ่งมีราคาแพงมาก เงิน ทองแดง อลูมเนียม ส่วนใยโลหะสังเคราะห์ทำจากโลหะอลูมิเนียม หรือโลหะหุ้มพลาสติก สารที่พ่นทับโลหะ ได้แก่ สารโพลีเอสเตอร์ เช่น Mylar หรือสารเซลลูโลส อาซิเตท-บิวไทเรท มีหลายสีสดใสแวววาว สวยงาม เช่น สีน้ำเงิน สีทอง ผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบโลหะแท้ ใยโลหะหุ้มพลาสติกใช้ประโยชนได้ดีไม่ดำเมื่อถูกอากาศ ความเค็ม คลอรีน จากน้ำและต่างจากผงซักฟอกคุณสมบัติของเส้นใยโลหะ
คุณสมบัติของเส้นใยโลหะนั้นไม่ค่อยเหนียว ทำขึ้นเพื่อใช้ในการตกเเต่งเสื้อผ้า มากกว่าทอเป็นผืนผ้าทั้งผืน ใยโลหะถ้าหุ้มหรือชุบด้วยโพลีเอสเตอร์ ใยจะเหนียว และทนทานมากขื้น ถ้าหุ้มด้วยอาซีเตท บิวไทเรท ใช้สำหรับตัดชุดราตรี สีจะไม่ตกไม่ซีดเมื่อถูกแสงแดดหรือเมื่อซักรีด -
เส้นใยยางธรรมชาติ (Natural Rubber Fiber)
เส้นใยยางยืดนั้นได้จากทั้งยางธรรมชาติและจากการสังเคราะห์ การนำเส้นใยยางมาใช้ในเสื้อผ้านั้นมักจะใช้เป็นเส้นเเถบยางยืด โดยภายในมีเส้นด้ายหรือเส้นใยประเภทอื่นๆ เช่นเส้นใยฝ้าย, เรยอน หรือไนลอน มาหุ้มอยู่โดยรอบเพื่อเพิ่มคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงานที่ผ้าที่ใช้ และปัองกันไม่ให้ใยยางเสื่อมคุณภาพเร็วเมื่อถูกความร้อนและแสงแดดคุณสมบัติที่ดีของเส้นใยยางต่อการนำมาใช้ประโยชน์
สามารถยืดหดได้ดี มีความโค้งงอดี มีความคงรูปปลานกลาง เหนียวแข็งแรง ทนต่อน้ำและอากาศได้ดี ตัดหรือฉีกขาดยาก ทนต่อสารเคมีได้หลายชนิด ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ใช้ตัดทำชุดอาบน้ำ ผ้าพันกล้ามเนื้อ ผ้าบุรองในรองเท้า ขอบถุงเท้า ถุงมือ แถบขอบยางยืด เป็นต้นคุณสมบัติที่ไม่ดีของเส้นใยยางต่อการนำมาใช้ประโยชน์
น้ำมันหรือเหงื่อไคลจากร่างกายและแสงแดด จะทำให้ยางเสื่อมคุณภาพจะยืดเสียรูปทรง ใยยางนั้นไม่ทนความร้อนสูง ถ้าความร้อนสูงเกิน 93C จะเริ่มสลายตัว เมื่อเก็บไว้นานความๆนั้นเหนียวจะลดลง การยืดหยุ่นจะเสียไปตามกาลเวลา และสารซักฟอกบางชนิดทำให้เส้นใยเสื่อมคุณภาพได้ เรามาทำความรู้จักเส้นใย กันเลย
เส้นใยปอเป็นพืชทีได้จากส่วนของลำต้น (Best Fiber) เช่นเดียวกับใยลินินและใยป่านรามี เริ่มมีใช้กันตั้งแต่ การเริ่มต้นของอารยธรรมในครั้งแรก ไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากนัก จนกระทั่งตอนปลาย ศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันปอเป็นเส้นใยที่ใช้กันมากชนิดหนึ่งของโลก โดยเฉพาะประเทศทีมีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำ เพราะเป็นเส้นใยที่มีราคาถูก
ใยนุ่น ได้จากส่วนที่เป็นเมล็ดของต้นนุ่น (Seed flber) ปุยนุ่นมีลักษณะเช่นเดียวกับปุย ฝ้าย เป็นไม้ยืนต้นชอบขึ้นอยู่ในแถบร้อน ต้นสูงประมาณ 50 ฟุต หรือมากกว่านั้น มีผลที เรียกว่า ฝัก มีลักษณะยาวและใหญ่ ปลายเรียวเล็กลง เมื่อฝักแก่หรือสุกก็หล่นเองและแตกออก แล้วนำปุยนุ่น แยกออกจากเมล็ด เมล็ดแยกออกจากปุยได้ง่าย นุ่นมีน้ำหนักเบา ไม่เปียกน้ำ ง่าย นิยมใช้เป็นวัสดุยัดหมอน ที่นอน และเครื่องเรือนอื่น ๆ เนื่องจากเส้นใยมีความเหนียวน้อย และมีเส้นใยสั้นมากไม่สามารถนำมาปั่นเป็นด้ายหรือทอผ้าได้ดี จึงไม่นิยมนำเส้นใยมาทอผ้า
ใยป่าน เป็นเส้นใยที่ได้จากลำต้นอีกชนิดหนึ่ง แต่มีใยค่อนข้างอ่อนนุ่มกว่าใยจากลำต้น ชนิดอื่น ๆ เริ่มมีใชักันครั้งแรกในประเทศแถวเอเซีย ใยป่านมีปลูกในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตศักราช ชาวจีนรู้จักใช้ใยป่านทำกระดาษ ชาวญีปุนเชือว่าใยป่านเป็นใยทีเก่าแก่ที่สุดของเขา ต่อมาได้ถูกนำไปสู่ประเทศแถบยุโรป และกลายเป็นเสันใยที่สำคัญของประเทศในแถบนั้นต่อมา ชาวอียิปต์และชาวเพนิเซีย รู้จักใช้ป่านภายหลังูร้จักใช้ใยลินินมาก ปัจจุบันประเทศ ที่ปลูกป่านมากที่สด ได้แก่ รัสเซีย อินเดีย และจีน ต้นป่านเป็นพืชที่แข็งแรงมาก สามารถขื้นได้พื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลถืง 8,000 ฟุต จืงขึ้นได้ดีในบริเวณทั่วไปที่มีอากาศอบอุ่นหรือร้อน
ต้นป่านเป็นพืชล้มลุกต้องปลูกใหม่ทุกปี แต่สามารถปลูกในที่ดินเดิมได้บ่อยครั้งกว่าต้นแฟลกซ์ การปลูกต้องปลูกแน่น ๆ จะได้ต้นเรียวยาว มีใบเฉพาะตอนยอดเท่านั้น ดอกเล็กมี 5 กลีบ มีผลเล็กเมล็ดมาก เมื่อใบที่โคนเริ่มเหลือง ก็เป็นระยะที่ตัดต้นป่านได้
การแยกใยป่าน แยกวิธีเดียวกับการแยกใยลินินต้องหมักให้ต้นเปื่อย ลอกเปลือกออกบด แล้ววางเอาเส้นใยออก เข้าเครื่องปั่นเป็นเส้นใยด้ายเพื่อทอเป็นผ้าต่อไป เส้นใยธรรมชาติมีสีน้ำตาล เข้มซึงฟอกขาวได้ยาก จึงนิยมยอมสีสดใสหรือสีเข้ม
เส้นใยป่านมีขนาดความยาวแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ใยยาวมักจะใช้ในงาน อุตสาหกรรม ส่วนใยสั้นจะใช้ในงานทั่ว ๆ ไป ความถ่วงจำเพาะของเส้นใยป่าน 1.48 กรัม/ลบ.ซม. มีความเหนียว 5.2 กรัม/ดิเนียร์ ยืดได้น้อยมากคือประมาณ 1.6 % มีความยืดหยุ่นต่ำ ดูดความชื้น ที่สภาวะมาตรฐาน 12% แต่สามารถเก็บความชื้นได้ 30% ของน้ำหนักเมื่ออากาศชื้นมาก
ปฏิกิริยาต่อกรดและด่าง ด่างเข้มข้น สัละด่างที่มีอุณหภูมิสูง ทำให้เส้นใยละลายได้ แต่ทนได้ในต่างเจือจางทั้งร้อพเละเย็น กรดเจือจางโดยเฉพาะกรดโลหะจะทำให้ใยป่านลดความเหนียวลง และจะขาดได้ในทีสุด ป่านสามารถซักได้ในสารซักฟอก และใช้กับสารฟอกขาวได้ ถ้าใช้ในปริมาณที่พอเหมาะและอย่างถูกวิธี ผ้าป่านทนต่อแสงแดด และความร้อนได้เหมืยนผ้าฝ้าย ทนต่อมอดและแมลงได้ดี แต่ไม่ทนต่อเชื้อรา การทดสอบว่าเป็นเส้นใยป่านหรือไม่นั้น ให้ทดสอบ ด้วยการแช่เส้นใยลงในสารประกอบไอโอดีนในกรดกำมะถัน ถ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเขียวก็แสดงว่า เป็นผ้าป่านแท้
ประโยชน์ใช้สอยของป่าน นิยมใช้ทำเชือกกระสอบและทำผ้าตกแตงภายในบ้าน ทอเป็นผ้าเนื้อหนา ๆ ใช้ทำถุงขนาดใหญ่ และทำกระสอบ
ใยป่านรามีเป็นเส้นใยทีได้จากลำต้น (Bast Fiber) เป็นพืชที่ปลูกมานานนับร้อย ๆ ปี ในประเทศจีน และเกาะฟอร์โมซา ชาวจีนเรียกว่า หญ้าจีน (chlna grass) และมีหลักฐานปรากฏ ว่า เคยมีปลูกและใช้กันมานานแล้วในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อม ๆ กับการใช้เส้นใยลินิน ในปัจจุบันปลูกมากในประเทศจีน ญี่ปุ่น อียิปต์ ฝรั่งเศส อิตาลี รัสเซีย สหรัฐอฌริกา และอินโดนีเซีย
การปลูกต้นรามีปลูกด้วยเมล็ด ต้นเป็นกอหรือเป็นพุ่มเมื่อเริ่มปลูกต้องมีการตัดต้นทิ้ง หลาย ๆ ครั้ง แล้วปล่อยให้ต้นเจริญขื้นใหม่ จนสามารถนำลำต้นมาเป็นเส้นใยได้ จะต้องใช้เวลา ประมาณ 2-3 ปี เมื่อตัดต้นแล้วจะต้องนำมาลอกเปลือกออกด้วยมือ หรือเครื่องจักร และผ่าน ขบวนการแยกเส้นใยออก การทำความสะอาดทำได้โดยแช่เส้นใยลงในน้ำผสมโซดาไฟ ทิังไว้หลาย ๆ ชั่วโมง เส้นใยจะถูกฟอกจนขาว ขี้ผื้งที่เคลือบอยู่ที่เส้นใยจะหลุดออก ต่อจากนั้นนำไปแช่ในน้ำกรดเจือจาง เพื่อให้มีสภาพเป็นกลางแล้วนำไปซักทำความสะอาตและทำให้แห้งต่อไป
เส้นใยป่านรามีเป็นเส้นใยยาว ค่อนข้างแข็งเป็นมันสีขาวสวยงาม ใกล้เคียงกับเส้นใย ไหม เส้นใยป่านรามีมีความเหนียวมาก มีความเหนียวแตกต่างกัน ตั้งแต่ 5.3-7.4 กรัม/ดิเนียร์ มีความยืดหยุ่นต่ำและยืดได้น้อยที่สุด ใยป่านรามีทนทานและมีปฏิกิริยาเคมีเช่นเดียวกับใยเซลลูโลส ชนิดอื่น ๆ ทนต่อกรดโลหะในอุณหภูมิต่ำ ทนต่อมอด แมลงได้ดี
ประโยชน์ใช้สอย
ผ้าป่านรามีมีลักษณะคล้ายใยลินินจึงมักจะใช้ประโยชน์เช่นเดียวกับผ้าลินิน เซ่น ตัดเสื้อ ทำผ้าปูโต๊ะ และผ้าเครื่องใช้ในบ้านชนิดอื่นๆ เนื่องจากผ้าใยป่านรามี มีเนื้อค่อนข้างแข็งจึงนิยมผสมกับเส้นใยชนิดอื่นๆ เช่นฝ้าย เรยอน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยทำให้มีคุณสมบัติให้น่าใช้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากป่านรามีมีความเหนียวมากและในขณะที่ผ้าฝ้ายและเรยอนให้ความนุ่มนวล
ผ้าฝ้าย หรือเรียกจากคำภาษาอังกฤษของผ้าฝ้ายว่า ค๊อตต้อน (Cotton) เป็นผ้าที่ใช้กันมากที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เหมาะสมสำหรับการสวมใส่ในช่วงที่มีอากาศร้อนในฤดูร้อน หรือสามารถสวมใส่ได้ทุกวันกับประเทศที่ภูมิอากาศร้อนชื้นทั้งปี เพราะในเนื้อเส้นใยฝ้ายนั้นสามารถซึมซับเหงือและระบายออกได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ผ้าฝ้ายทำมาจากใยฝ้าย ซึ่งได้จากต้นฝ้ายที่สามารถปลูกขึ้นได้ดีในแถบที่มีอากาศอุ่นชื้นและมีแดดจัด เมื่อผลฝ้ายแก่จัดแล้ว ผลจะแตกมีใยเป็นปุยขาว จึงเก็บมาแยกเอาเปลือกและเมล็ดออก แล้วนำไปปั่นเป็นเส้นใยและเส้นด้าย จึงจะสามารถทอเป็นผืนผ้าได้แล้วจึงจะสามารถใช้ประโยนช์จากผ้าฝ้ายได้ โดยการนำมาตัดและเย็บเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
ผ้าฝ้ายมีเนื้อค่อนข้างเหนียว ไม่ค่อยยืดหยุ่น ยับง่าย หดง่าย ดูดซึมน้ำได้ดี ระบายอากาศและความร้อนได้ดี ซักรีดและทำความสะอาดง่าย ทนความร้อนได้ดี สามารถรีดด้วยความร้อนสูงได้
ผ้าฝ้ายมีเนื้อค่อนข้างเหนียว ไม่ค่อยยืดหยุ่น ยับง่าย หดง่าย ดูดซึมน้ำได้ดี ระบายอากาศและความร้อนได้ดี ซักรีดและทำความสะอาดง่าย ทนความร้อนได้ดี สามารถรีดด้วยความร้อนสูงได้
คุณสมบัติของผ้าฝ้าย
ข้อดีและข้อเสียโดยรวมของผ้าฝ้ายต่างๆมีดังนี้
1.สวมใส่สบาย เพราะดูดความชื้นและระบายความร้อนออกได้ดี2.มีความทนทาน
3.ทนต่อความร้อน
4.เนื้อผ้าฝ้ายยับง่าย คงรูปทรงได้ยาก
เส้นใยลินินได้จากพืชที่เรียกว่า แฟลกซ์(Flax) ซึ่งเป็นพืชใช้ทำเส้นใยผ้า นิยมปลูกกันมากในทวีปยุโรป เช่น เบลเยี่ยม ไอร์แลนด์ รัสเซีย ฯลฯ เป็นเส้นใยสำหรับการใช้เป็นผ้าที่เก่าแก่และทนทาน (ผ้าห่อมัมมี่ในประเทศอียิปต์)
ลินินชอบอากาศอุ่นค่อนข้างชื้น ลินินที่ปลูกในทวีปยุโรปส่วนมากจะนำไปทำเป็นผืนผ้าสำเร็จรูป ก่อนจะได้เส้นใยลินินมาผลิตเป็นผืนผ้านั้น ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน โดยการนำต้นลินินที่ถอนแล้วมาหมักให้ต้นเปื่อยนุ่ม มัดเป็นฟ่อน ๆ ตากให้แห้ง เมื่อแห้งได้ที่แล้วจึงใช้ลูกกลิ้งกลิ้งขนาดใหญ่มาบดทับให้ต้นและก้านแตกแยกออกเป็นเส้นใยเส้นๆออกมา ต่อไปนำเส้นใยที่แตกออกมาแล้วเข้าเครื่องหวี หวีให้เส้นใยเรียบและแยกเอาเส้นใยสั้นๆ แล้วจึงนำไปปั่นเป็นเส้นใยและเส้นด้าย หากต้องการให้เส้นใยขาว ก็มักจะนำไปฟอกขาวก่อนนำมาปั่นเป็นเส้นด้ายเพื่อความรวดเร็ว
ผ้าลินินมีหลายชนิด ตั้งแต่เนื้อละเอียดบางจนถึงเนื้อหยาบหนา เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดปาก ผ้าเช็ดตัว ผ้ากันเปื้อน ผ้าตัดเสื้อหน้าร้อน ผ้าม่าน ฯลฯ แต่ราคาค่อนข้างแพง
2.สวมใส่สบาย ดูดความชื้นและระบายความร้อนได้ดี
3.ทนต่อกรด - ด่าง และสารเคมีชนิดอื่นๆ
4.ยับง่าย และรอยยับจะหายยากถ้าไม่ผ่านกรรมวิธีทนยับมาก่อน
ลินินชอบอากาศอุ่นค่อนข้างชื้น ลินินที่ปลูกในทวีปยุโรปส่วนมากจะนำไปทำเป็นผืนผ้าสำเร็จรูป ก่อนจะได้เส้นใยลินินมาผลิตเป็นผืนผ้านั้น ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน โดยการนำต้นลินินที่ถอนแล้วมาหมักให้ต้นเปื่อยนุ่ม มัดเป็นฟ่อน ๆ ตากให้แห้ง เมื่อแห้งได้ที่แล้วจึงใช้ลูกกลิ้งกลิ้งขนาดใหญ่มาบดทับให้ต้นและก้านแตกแยกออกเป็นเส้นใยเส้นๆออกมา ต่อไปนำเส้นใยที่แตกออกมาแล้วเข้าเครื่องหวี หวีให้เส้นใยเรียบและแยกเอาเส้นใยสั้นๆ แล้วจึงนำไปปั่นเป็นเส้นใยและเส้นด้าย หากต้องการให้เส้นใยขาว ก็มักจะนำไปฟอกขาวก่อนนำมาปั่นเป็นเส้นด้ายเพื่อความรวดเร็ว
คุณสมบัติโดยทั่วไปของลินิน
คุณสมบัติของผ้าลินินส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกับผ้าฝ้าย หรือเมื่อเปรียบเทียบผ้าลินินกับผ้าฝ้ายแล้ว จะมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย คือ ผ้าลินินเหนียวทนทานกว่าผ้าฝ้าย แต่ยืดหดได้น้อยกว่า เส้นใยหักและยับ-ง่าย ดูดซึมน้ำได้ดีกว่า สวมใส่สบายและให้ความรู้สึกเย็นกว่า เนื้อมันกว่าผ้าฝ้าย เนื้อผ้าลินินจะแข็งเหมือนลงแป้ง ยิ่งซักยิ่งมันและดูใหม่เสมอผ้าลินินมีหลายชนิด ตั้งแต่เนื้อละเอียดบางจนถึงเนื้อหยาบหนา เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดปาก ผ้าเช็ดตัว ผ้ากันเปื้อน ผ้าตัดเสื้อหน้าร้อน ผ้าม่าน ฯลฯ แต่ราคาค่อนข้างแพง
เส้นใยลินินโดยสรุป
1.เส้นใยเหนียวมาก ทนทานต่อการซักรีด2.สวมใส่สบาย ดูดความชื้นและระบายความร้อนได้ดี
3.ทนต่อกรด - ด่าง และสารเคมีชนิดอื่นๆ
4.ยับง่าย และรอยยับจะหายยากถ้าไม่ผ่านกรรมวิธีทนยับมาก่อน
ใยมะพร้าว เป็นเส้นใยที่ได้จากส่วนที่เป็นเปลือกชั้นในที่อยู่ระหว่างผลและเปลือกชั้นนอก ถือเป็นเส้นใยที่ได้จากเมล็ด (Seed Fiber) สีธรรมชาติของใยมะพร้าวเป็นสีน้ำตาลมีความแข็งแรง ทนต่อความชื้นเเละ น้ำได้ดี ทนต่อการขัดสีได้ดีมาก นิยมใช้ทำพรมเข็ดเท้า เสื่อ เชือก ถ้าย้อมสีมักย้อมสีเข้มหรือสีดำ เพราะฟอกให้เป็นสีขาวยาก ปัจจุบันใช้ใยมะพร้าวทำที่นอน เก้าอี้นวมสปริง และเครื่องเรือนอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน ทำพรมเช็ดเท้า ทำเชือก เป็นต้น
ใยป่านศรนารายณ์ (Sisal) เป็นเส้นใยเซลลูโลสที่ได้จากใบของลำต้นป่านศรนารายณ์ ซึ่งเป็นพืชในตระกูล Agave ชื่อต้น Agave Sisalara ปลูกและขึ้นได้ดีในประเทศเม็กซิโก ประเทศแถวอเมริกาใต้ แอฟฟริกา เอเซีย ในประเทศไทยมีปลูกมากที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ลักษณะลำต้นคล้ายต้นสับปะรด ต้นเตี้ยใหญ่เมื่อต้นโตเต็มที่จะลูงเพียง 3 ฟุต ใบยื่นออก จากลำต้นเป็นแฉก ๆ โดยรอบ ใบหนาและยาวประมาณ 4-6 ฟุต ปลายใบแหลมเหมือนหอก ริมใบเรียบเมื่อโตเต็มที่จะมีสีเทา ปนเขียว จนกระทั่งเขียวเข้ม เมื่อปลูกได้ 4 ปี จะสามารถตัดใบมา เลาะเอาเส้นใยออกได้ และจะออกดอกเมื่อปลูกได้ 4-8 ปี
ป่านศรนารายณ์ชอบขึ้นในบริเวณที่มีอากาศอบอุ่น ช่มชื้น พื้นดินถ่ายเทน้ำได้ด ใช้ต้น เล็กที่ออกจากต้นเดิมขยายพันธุ์ นิยมปลูกกันในต้นฤดูฝน
ใยไหมได้จากรังของตัวไหม ในไทยมีการเลี้ยงไหมกันมากทางภาคอีสาน ใยไหมได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่งเส้นใย มีความงามหรูหรา เนื้อผ้าเป็นมันแวววาว ทำความพึงพอใจให้แก่ผู้สวมใส่ แต่ผ้าไหมมีราคาค่อนข้างแพง คนเรารู้จักใช้ผ้าไหมกันมานานหลายพันปีแล้ว ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่รู้จักเลี้ยงไหม และนำเส้นใยมาผลิตเป็นผ้าไหม
ลักษณะลำต้นคล้ายต้นสับปะรด ต้นเตี้ยใหญ่เมื่อต้นโตเต็มที่จะลูงเพียง 3 ฟุต ใบยื่นออก จากลำต้นเป็นแฉก ๆ โดยรอบ ใบหนาและยาวประมาณ 4-6 ฟุต ปลายใบแหลมเหมือนหอก ริมใบเรียบเมื่อโตเต็มที่จะมีสีเทา ปนเขียว จนกระทั่งเขียวเข้ม เมื่อปลูกได้ 4 ปี จะสามารถตัดใบมา เลาะเอาเส้นใยออกได้ และจะออกดอกเมื่อปลูกได้ 4-8 ปี
ป่านศรนารายณ์ชอบขึ้นในบริเวณที่มีอากาศอบอุ่น ช่มชื้น พื้นดินถ่ายเทน้ำได้ด ใช้ต้น เล็กที่ออกจากต้นเดิมขยายพันธุ์ นิยมปลูกกันในต้นฤดูฝน
การแยกเส้นใยป่านศรนารายณ์
ปัจจุบันใช้วิธีการแยกเส้นใยด้วยเครื่องจักรที่จะขุดเอาส่วน เนื้อใบออก และทำความสะอาดเส้นใย แต่ก็จะมีการแยกเส้นใยด้วยมือโดยการหมักในน้ำ เพื่อลอกเส้นใย แล้วทำความสะอาดเส้นใย เสร็จแล้วจึงนำไปตากแดดหรืออบให้แห้ง แปรงเส้นใยให้เป็นระเบียบ การแยกเส้นใยนี้ต้องทำโดยเร็ว ภายหลังจากการตัดใยมาใหม่ ๆ ถ้าทิ้งไว้นาน ยางภายในจะแห้งทำให้แยกเส้นใยยากคณสมบัติของเส้นใยป่านศรนารายณ์
ป่านศรนารายณ์เป็นเส้นใยที่แข็ง มีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยตรงกลางโป่งออกเล็ก น้อย ปลายแหลมและทึบ ถ้าดูตามขวางจะเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยม มี Lumen อยู่ตรงกลางเห็นได้ชัด ผนังเซลค่อนข้างหนา มีความเหนียวยืดออกได้มาก ทนต่อจุลินทรีย์ในน้ำเค็มได้ดี ดูดน้ำและความชื้นได้ดีประโยชน์ใช้สอย
ป่านศรนารายณ์นิยมใช้ในงานอตสาหกรรม ทำเชือกในการเกษตร การเดินเรือ เชือกห่อ ของทำเสื่อ กระเป๋าถือ ทำหมวก
ใยไหมได้จากรังของตัวไหม ในไทยมีการเลี้ยงไหมกันมากทางภาคอีสาน ใยไหมได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่งเส้นใย มีความงามหรูหรา เนื้อผ้าเป็นมันแวววาว ทำความพึงพอใจให้แก่ผู้สวมใส่ แต่ผ้าไหมมีราคาค่อนข้างแพง คนเรารู้จักใช้ผ้าไหมกันมานานหลายพันปีแล้ว ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่รู้จักเลี้ยงไหม และนำเส้นใยมาผลิตเป็นผ้าไหม
คุณสมบัติทั่ว ๆ ไป ของผ้าไหม นอกจากจะมีเนื้อมันแวววาวสวยงามมากแล้ว ยังเหนียวมาก สวม-ใส่สบาย ปรับให้เหมาะกับอากาศร้อนเย็นได้ดี คือจะรู้สึกเย็นเมื่ออากาศร้อน และจะรู้สึกอุ่นเมื่ออากาศหนาว ผ้าไหมย้อมสีติดง่าย พิมพ์ลวดลายได้สวยงาม เวลาสวมใส่ไหมจะเสียดสีกันทำให้เกิดเสียง เราเรียกกันว่าเสียง ส่ายไหม ผ้าไหมนิยมนำมาตัดเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ให้ความงามหรูหราและใช้เป็นครั้งคราว ไม่นิยมตัดเสื้อผ้าที่ต้องใส่ประจำวันนัก ทั้งนี้เพราะผ้าไหมราคาค่อนข้างแพง ซักรีดยาก ผ้าไหมที่ฟอกเอาขี้ผึ้งที่ติดมากับเส้นใยออกหมด น้ำหนักจะเบาและค่อนข้างยับง่าย ต้องตกแต่งให้ทนยับ ผ้าไหมจะเก่าเร็วถ้าซักรีดบ่อย ๆ ไม่ทนต่อสารซักฟอกที่มีส่วนผสมของด่างเข้มข้นและไม่ทนต่อแสงแดด เวลาซักรีดผ้า-ไหมจึงต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าการซักผ้าชนิดอื่น
คุณสมบัติของเส้นใยไหม
ไหมเป็นเส้นใยโปรตีนธรรมชาติ มีสารโปรตีนที่เรียกว่า Fibroin และมีโปรตีนที่เรียกว่า เซริซิน (Sericen) มีลักษณะเหนียวเหมือนกาว ช่วยยึดให้เส้นใยสองเส้นติดกัน โปรตีนของเส้นใยไหม ประกอบด้วยกรดอมิโนเกาะเข้าด้วยกัน เป็นโซ่ยาว เรียกว่า โพลิเปปไทด์ (polypeptide chain) สาร fibroin แตกต่างจากสารเคราติน (Keratln) ซึ่งเป็นโปรตีนในขนสัตว์ คือไม่มีตัวยึดที เรียกว่า cystine หรือ Sulphur linkage เช่นในเส้นใยขนสัตว์ โปรตีนของเส้นใยไหมประกอบด้วย กรดอามิโน ประมาณ 15 ซนิด ส่วนใหญ่เป็นกรด อามิโณดี่ยว เช่น Glycin, Alanine, Serine เป็นต้น โมเลกุลของเส้นใยไหขเรียงตัวกันเป็นระเบียบดีฆาก ทำให้เส้นใยมีความเหนียวแข็งแรงทนทาน
ลักษณะเด่นของเส้นใยไหม
1.เส้นใยเหนียวมาก ดูดความชื้นได้ดี ทนทาน แต่ดูแลรักษายาก
2.สวมใส่สบาย เหมาะกับทุกสภาพอากาศ (อากาศไม่หนาวมากหรือร้อนจนเกินไป)
3.ไม่ทนต่อกรด ทนด่าง และสารเคมีอื่น ๆ
4.เนื้อผ้ามีความหนาแน่นน้อย (น้ำหนักเบา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น